ข้อบังคับ
เพื่อมูลนิธิโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
......................................................
หมวดที่ 1
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ 1 มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ย่อว่า
ม.ร.น.ธ.
เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “FOUNDATION FOR
NARADHIWAS RAJANGARINDR HOSPOTAL”
ข้อ 2 เครื่องหมายของมูลนิธินี้ คือ
งู 2 ตัว พันคบเพลิงมีปีก
ภายในวงกลมชั้นในมีชื่อมูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ล้อมรอบอยู่ในวงกลมชั้นนอก (ตามรูปที่ปรากฏด้านล่างนี้)
ข้อ
3 สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ที่ บ้านพักโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
เลขที่
180/88 ถนนระแงะมรรคา ตำบลบางนาค
อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
โทร
073-511379 โทรสาร 073-513481
หมวดที่ 2
วัตถุประสงค์
ข้อ 4 วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
4.1
เพื่อเป็นทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ในโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
4.2 เพื่อเป็นทุนส่งเสริมในการศึกษา ค้นคว้า
และวิจัยในทางการแพทย์ของโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
4.3
เพื่อเป็นทุนส่งเสริมการป้องกันและรักษาโรคของประชาชนที่มีรายได้น้อย
4.4
เพื่อเป็นทุนส่งเสริมและให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดีเด่นของโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
4.5 เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
4.6 เพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่บุตร
ธิดาของบุคลากรโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ที่มีผลการเรียนดี ขาดแคลนทุนทรัพย์
4.7
เพื่อสนับสนุนกิจกรรมตามโครงการพระราชดำริของบรมวงศานุวงศ์
4.8 ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
ฯลฯ
หมายเหตุ กรณีมูลนิธิต้องการดำเนินการเกี่ยวกับการเมืองต้องไม่ระบุวัตถุประสงค์ เพื่อการกุศลสาธารณะ และให้ระบุวัตถุประสงค์แทน “ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” ว่า “เพื่อส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือทรัพย์สินแก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด”
หมวดที่ 3
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน
และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ 5 ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ
5.1
เงินสด จำนวน 300,000.-
บาท (สามแสนบาทถ้วน)
ข้อ 6 มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้
6.1
เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆ
โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สิน หรือภาระติดพันอื่นใด
6.2 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
6.3 ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
6.4 รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
หมวดที่ 4
คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ 7 กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
7.1
มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี
บริบูรณ์
7.2
ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
หรือไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
7.3
ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก
เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ข้อ 8 กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
8.1
ถึงคราวออกตามวาระ
8.2
ตายหรือลาออก
8.3
ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับข้อ 7
8.4
เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก
โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 5
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ
9 มูลนิธิดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า 9
คน แต่ไม่เกิน 15 คน
ข้อ 10 คณะกรรมการของมูลนิธิ ประกอบด้วย
ประธานกรรมการมูลนิธิ
รองประธานกรรมการมูลนิธิ
เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่นๆ ตามที่เห็นสมควร ตามข้อบังคับ
ข้อ 9
ข้อ 11 วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่
เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิและกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ 12 กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
ข้อ 13 การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ เป็นมติของที่ประชุม
ข้อ 14 กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ 15 ในกรณีกรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่ง
ปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไปจนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่
หมวดที่ 6
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 16 คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและภายใต้ข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
16.1 กำหนดนโยบายของมูลนิธิและดำเนินงานตามนโยบายนั้น
16.2 ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ
16.3 เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน
และบัญชีงบดุลรายได้รายจ่ายต่อกระทรวงมหาดไทย
16.4 ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
16.5 ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
16.6 แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
หรือหลายคณะเพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
16.7 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
16.8 เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
16.9 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
16.10 แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ 16.7,16.8 และ
16.9
ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุม
และที่ปรึกษาตามข้อ 16.9
ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น
ข้อ 17 ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
17.1 เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
17.2 สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
17.3 เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสารข้อบังคับ และสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ
หรือกรรมการมูลนิธิผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการแทนได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
17.4 ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับ
และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 18 ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ 19 ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้
ให้ที่ประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ 20 เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ
และดำเนินการประชุมของมูลนิธิติดต่อประสานงานทั่วไปรักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการ ตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการมูลนิธิ
ข้อ 21 เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิตลอดจนบัญชี
และเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ 22 สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดโดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ 23 คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้
หมวดที่ 7
อนุกรรมการ
ข้อ 24 คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม
โดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำหรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการเลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ก็ให้อนุกรรมการแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ข้อ 25 อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำส่วนคณะอนุกรรมการประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิ
กำหนดซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งและอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
25.1 อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
25.2 อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
หมวดที่ 8
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 26 คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุกๆ ปีภายในเดือนมีนาคม
และต้องมีคณะกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ 27 การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุม ก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
ข้อ 28 กำหนดการประชุม
และองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเองและในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุม ให้ใช้ข้อ
27 บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 29 ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมากในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาดกิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไปถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น
กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 30 ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิ
หรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือผู้สังเกตการณ์หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
หมวดที่ 9
การเงิน
ข้อ 31 ประธานกรรมการมูลนิธิหรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทนมีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน 50,000.-
บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)
ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากเว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ 32 เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 20,000.-
บาท (สองหมื่นบาทถ้วน)
ข้อ 33 เงินสดของมูลนิธินำฝากไว้กับธนาคาร
หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลให้การค้ำประกันแล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 34 การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงินจะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนกับเลขานุการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ 35 การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิของมูลนิธิรวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงานให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนเงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะและหรือรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิหรือเงินที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์
ข้อ 36 ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงินการบัญชีและทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ 37 ให้คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดรอบระยะเวลาบัญชี
และจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาเสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี
หมวดที่ 10
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
ข้อ 38 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้
โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม
หมวดที่ 11
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ 39 ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ
หรือโดยเหตุใดก็ตามทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
ข้อ 40 การสิ้นสุดมูลนิธินั้น
นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้วให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้
40.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน
40.2 เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
40.3 เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
40.4 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ
หมวดที่ 12
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 41 การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 42 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้
ข้อ 43 มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง
ลงชื่อ จำลอง
รัตนพันธ์ ผู้จัดทำข้อบังคับ
(นายจำลอง รัตนพันธ์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น